4 กันยายน 2555

อดทน เกษตรต้องอดทน


เรื่องราวต่อไปนี้เกิดขึ้นในปี 2526 เป็นความประทับใจไม่รู้ลืมเมื่อผมเรียนอยู่ที่คณะเกษตรศาสตร์ มช. ผมยังคงจดจำได้อย่างแม่นยำตราบจนกระทั่งทุกวันนี้  

19 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีปีไหนเลยที่คณะเกษตรของเราจะไม่ได้ที่ 1 ในการขึ้นดอยสุเทพ วันพรุ่งนี้คือวันที่เราจะขึ้นไปสักการะพระธาตุดอยสุเทพ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่น้องใหม่ของ มช.ทุกๆคน รุ่นพี่ทุกรุ่นคอยเฝ้าจับตาดูพวกคุณอยู่ หวังว่าพรุ่งนี้พวกคุณจะไม่ทำให้รุ่นพี่ผิดหวัง วันนี้เราจะปล่อยพวกคุณกลับหอเร็วกว่าทุกวันเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ เสียงรุ่นพี่ประกาศกลางห้องประชุมเชียร์คณะเกษตรศาสตร์ มช. พรุ่งนี้แล้วสินะ วันสำคัญอีกวันหนึ่งที่จะพิสูจน์ความเป็นลูกพระพิรุณรุ่นที่ 20 ของพวกเรา หลังจากที่ซ้อมวิ่งกันมาเป็นแรมเดือน คืนนั้นผมนอนหลับๆตื่นๆ ในใจรู้สึกตื่นเต้นกับวันใหม่ที่จะมาถึง 

ตี 4 ของวันรุ่งขึ้น ผู้ชายทุกคนมาพร้อมหน้ากันที่หอ 8 เหลี่ยม (หอ 3 หญิง) เมื่อพร้อมแล้วเสียงบูมของพวกเราก็เริ่มดังขึ้น ซู่ !ซู่ ! ซ่า ! ซ่า ! เกษตรเชียงใหม่ can you see , who are we , Agricultra , ซ่า ! เสียงดังกระหึ่มกึกก้องไปทั่วบริเวณ มช. เพื่อนๆผู้หญิงจากหอ 8 เหลี่ยมวิ่งออกมารวมกับพวกเรา หลังจากนั้นเราก็วิ่งไปบูมทั่วทุกหอหญิงเพื่อรับเพื่อนๆของเรา เมื่อเรารวบรวมสมาชิกของรุ่น 20 ได้ครบแล้ว รุ่นพี่ก็พาเรามุ่งไปยังหน้ามอ ตลอดทางเราก็จะได้ยินเสียงบูมจากคณะอื่นๆ บางคณะก็วิ่งสวนทางกับพวกเรา มีการแซวกันเล็กน้อย ทำให้เรารู้สึกคึกคักกระปรี้กระเปร่าอยากให้ถึงเวลาขึ้นดอยเร็วๆ 

เราไปรวมตัวกันที่หน้าศาลาธรรม เมื่อประธานในพิธีกล่าวถึงจุดประสงค์ในการขึ้นดอยเรียบร้อยแล้ว รุ่นพี่ก็พาพวกเราไปดักรอเพื่อนๆคณะอื่นที่ประตูทางออกของมหาวิทยาลัย ที่นั่นเราเริ่มร้องเพลงแซวคณะอื่นที่เริ่มทยอยเดินออกจากรั้วมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะสาวๆทั้งหลายนั้นอยู่ในความสนใจของหนุ่ม Aggie รุ่น 20 เป็นพิเศษ ช่วงที่คณะวิศวะเดินผ่านพวกเราคือช่วงของการแซวที่สนุกสนานที่สุด เพราะเรียกได้ว่าเป็นคู่ปรับในการแย่งชิงตำแหน่งที่ 1 ในวันนี้เลยทีเดียว เมื่อเพื่อนๆทั้ง 11 คณะ เดินทางออกจากมหาวิทยาลัยกันหมดแล้ว ก็ถึงคิวของคณะที่ 12 ที่จะออกเป็นคณะสุดท้าย นั่นคือคณะเกษตรของพวกเรา เอาล่ะ ได้เวลาของพวกเราแล้ว วันนี้จะเป็นอีกวันหนึ่งที่จะพิสูจน์พวกคุณว่าพร้อมที่จะเป็นชาวเลือดเข้มหรือไม่ ทำให้เต็มที่ครับ รุ่นพี่นำพวกเราบูมก่อนเดินออกจากรั้วมหาวิทยาลัย 

พวกเราทุกคนแหงนหน้าขึ้นมองดอยสุเทพ เริ่มต้นด้วยการเดินไปเรื่อยๆ และเมื่อพวกเราได้กราบไหว้อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย( ผู้บุกเบิกสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ ) ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของชาวเชียงใหม่เรียบร้อยแล้ว รุ่นพี่ก็สั่ง วิ่ง พวกเราจัดแถวเรียง 4 มีรุ่นพี่ทั้งหญิงชายรายล้อมพวกเราทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง แล้วเราก็เริ่มวิ่ง วิ่ง วิ่ง เราเริ่มแซงคณะอื่น ซึ่งการวิ่งแซงคณะอื่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะแถวของคณะอื่นนั้นยาวมาก โดยเฉพาะคณะที่มีสมาชิกจำนวนมากๆอย่างคณะสังคมและคณะมนุษย์ เวลาวิ่งแซงเราจะต้องแซงรวดเดียวผ่านไปให้ได้ทั้งหมด ไม่งั้นจะเสียหน้ามากว่าคิดจะแซงแล้วยังแซงไม่พ้น ระหว่างแซงก็จะโดนคณะอื่นแซวตลอดทาง แข็งแรงเป็นวัวเป็นควาย แข็งแรงเป็นวัวเป็นควาย พวกเราหลายคนโดนแซวก็มีอาการฮึดฮัดขึ้นมาเหมือนกัน รุ่นพี่คอยตะโกนเตือนสติพวกเรา ไม่ต้องสนใจ วิ่งไปเรื่อยๆครับ เมื่อพวกเราวิ่งแซงได้แล้วก็จะสลับเดินบ้างวิ่งบ้างตลอดทาง เราแซงมาได้หลายคณะมาก 

และเมื่อมาถึงครึ่งทางที่ศูนย์ควบคุมไฟป่า พวกเราก็พักกินข้าวเที่ยง โดยทุกคณะก็จะมาพักกันที่นี่ คณะวิศวะซึ่งมาถึงก่อนเรานั้นเริ่มต้นเดินทางออกจากศูนย์ฯเป็นคณะแรก เพราะเขาก็มุ่งมั่นที่จะเอาที่ 1 ให้ได้ พวกเราปล่อยให้คณะวิศวะนำหน้าไปก่อนประมาณ 10 นาที เมื่อพร้อมแล้ว พวกเราก็เริ่มออกเดิน แล้วเราก็เริ่มวิ่ง วิ่ง วิ่ง เป้าหมายคือแซงคณะวิศวะให้ได้ และในที่สุดพวกเราก็เห็นคณะวิศวะอยู่ข้างหน้า เราเห็นเขา เขาก็เห็นเรา คณะวิศวะพยายามวิ่งหนีเรา แต่เราก็พยายามวิ่งตาม การแข่งขันวิ่งแบบเป็นกลุ่มใหญ่ๆจึงเกิดขึ้น ทั้งเหนื่อยทั้งสนุก ในที่สุด เกษตรของเราซึ่งมีความอึดมากกว่าก็เริ่มวิ่งแซงคณะวิศวะ น่าแปลกใจมาก ตลอดทางที่เราวิ่งแซงคณะอื่นนั้น เราจะถูกแซวว่า แข็งแรงเป็นวัวเป็นควาย แต่เมื่อเรากำลังวิ่งแซงคณะวิศวะ เขากลับให้เกียรติเราโดยการยืนปรบมือให้พวกเรา ยิ้มให้เรา ชูนิ้วโป้งให้เรา บางคนก็ยื่นมือมาแตะมือพวกเรา พวกเรารู้สึกได้ถึงมิตรภาพระหว่างคณะ ผมรู้สึกซึ้งใจในมิตรไมตรีครั้งนี้มากๆ ใครกันบอกว่าวิศวะคือศัตรูของเกษตร จากเหตุการณ์วันนี้ถือได้ว่าลบล้างคำพูดเหล่านั้นลงอย่างสิ้นเชิง 

เมื่อเราแซงคณะวิศวะมาแล้ว เราก็กึ่งเดินกึ่งวิ่ง ในที่สุดพวกเราก็เดินทางมาถึง โค้งวัดใจ รุ่นพี่บอกให้พวกเราหยุดอยู่ที่โค้งนี้แล้วพูดว่า จากจุดนี้ซึ่งเป็นโค้งหักศอก ถือเป็นจุดที่ชันที่สุด แต่เมื่อผ่านโค้งนี้ไป เราจะได้เห็นเชิงบันไดทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ และนั่นก็คือเป้าหมายของเรา เพราะฉะนั้น สัญญากันก่อนว่าถ้ายังไม่ถึงบันไดเราจะไม่หยุดวิ่ง สัญญาได้มั้ยครับ ได้ครับ (ค่ะ) พวกเราตอบอย่างเสียงดังฟังชัด 

พวกเราสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วเราก็เริ่มวิ่ง การวิ่งขึ้นทางที่ชันมากๆนั้นจะเกิดอาการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างที่สุด หลายคนทำหน้าเหยเก ทำท่าจะวิ่งต่อไปไม่ไหว แต่เราก็กัดฟันสู้ วิ่ง วิ่ง วิ่ง พวกเราดึงมือกันขึ้นไป กอดคอกันไป ต่างคนต่างลากกันขึ้นไป ไม่ถึงบันไดไม่หยุดโว้ย เสียงพวกเรากระตุ้นกันเอง และในที่สุด ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันก็พาพวกเราขึ้นไปยืนที่เชิงบันไดของพระธาตุดอยสุเทพเป็นคณะที่ 1 จนได้ ธงสีเหลืองของคณะเกษตรโบกสะบัดอย่างสวยงาม นับได้ว่าเราได้รักษาตำแหน่งแชมป์เป็นสมัยที่ 20 ติดต่อกัน สร้างความภาคภูมิใจให้พวกเราเป็นอย่างมาก แต่ความภาคภูมิใจที่ยิ่งกว่านั้นก็คือการที่พวกเราทั้งหญิงและชายให้กำลังใจซึ่งกันและกันมาตลอดทาง สู้สิเพื่อน เกือบถึงแล้ว ไม่ไหวไม่ได้ อีกนิดเดียวเพื่อน ถึงแล้วเพื่อน เราทำได้แล้ว เราทำได้ เราทำได้แล้วโว้ย และเราก็เชื่อว่าสิ่งนี้ต่างหากที่รุ่นพี่ทุกๆรุ่นต้องการให้เราเป็น เพราะนี่คือความหมายของคำว่า UNITY ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน 

หลังจากที่รุ่นพี่พาพวกเราขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพเพื่อเป็นสิริมงคลแก่พวกเราน้องใหม่ของ มช.เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องลงดอยกลับสู่รั้ว มช. กัน รุ่นพี่พากลุ่มเพื่อนผู้หญิงขึ้นรถลงดอยล่วงหน้าไปก่อน แล้วรุ่นพี่ก็พาพวกเรา (ผู้ชาย) เดินมุ่งหน้าขึ้นไปทางภูพิงค์ห่างจากดอยสุเทพประมาณ 100 เมตร พวกเราเดินผ่านคณะวิศวะ ซึ่งก็เตรียมตัวที่จะวิ่งลงดอยเหมือนพวกเรา แล้วรุ่นพี่ก็พูดขึ้นว่า นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พี่ๆจะวัดความอดทนของพวกคุณ ระยะทาง 12 กม. จากจุดนี้ถึงหน้ามอจะพิสูจน์ว่าพวกคุณแข็งแกร่งเพียงพอที่จะเป็นเกษตรรุ่นที่ 20 ได้หรือไม่ พวกคุณต้องไปพร้อมกัน ใครไม่ไหวก็ต้องแบกกันไป ลากกันไปให้ถึง ไม่มีการทิ้งเพื่อน ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ ม้วนเดียวจบ ไม่มีการหยุดพัก ตอนนั้นพวกเราหลายคนยังคิดว่าเป็นไปไม่ได้ วิ่งยังไง 12 กม. โดยไม่พักเลย เราไม่ใช่นักวิ่งมาราธอนนะ ยังไงๆก็น่าจะได้พักบ้างแหละน่า 

พวกเราปล่อยให้คณะวิศวะวิ่งลงดอยไปก่อน ผมยืนอยู่ด้านริมสุดของแถว ก่อนออกวิ่งผมหันมาจับมือกับเพื่อนคนหนึ่ง เราประสานมือกันแน่นเป็นสัญญาณบอกว่า สู้โว้ย ! และแล้ว รุ่นพี่ก็พาพวกเราเดิน เริ่มวิ่งเหยาะๆ รุ่นพี่วิ่งประกบพวกเราทั้งซ้ายขวาหน้าหลัง อย่าวิ่งเร็ว ค่อยๆไป ถ้าคุณวิ่งเร็ว จะไม่มีทางวิ่งถึงหน้ามอ จัดระเบียบแถวด้วย ดูเพื่อนข้างๆ อย่าแตกแถวนะครับ พวกเราวิ่งไปตะโกนไป Aggie CMU Aggie CMU สลับกับ เกษตร เชียงใหม่ เกษตร เชียงใหม่ รู้สึกใจฮึกเหิมขึ้นมาอย่างทันทีทันใด หรือว่าเลือดเกษตรเชียงใหม่ได้ถูกฉีดเข้าไปจนทั่วร่างกายของพวกเราแล้ว สู้ สู้ สู้ ! 

พวกเราวิ่งเหยาะๆกันไปเรื่อยๆ เสียงตะโกน เกษตร เชียงใหม่ Aggie CMU ดังขึ้นเป็นระยะๆ เสียงตบเท้า ปั่บ ! ปั่บ ! ปั่บ ! เป็นจังหวะการวิ่งที่พร้อมเพรียงกันมันช่วยกระตุ้นให้พวกเราฮึดสู้อย่างเต็มที่ เราวิ่งมาได้เป็นระยะทางไกลพอสมควร ผมก็ยังไม่มีอาการเหนื่อยแต่อย่างใด ไม่มีแม้แต่เหงื่อ รู้สึกแปลกใจตัวเองเหมือนกัน หันไปมองเพื่อนๆ แต่ละคนยังดูหน้าตาสดชื่น น่าชื่นใจตรงที่ว่าแต่ละคนมีแววตาที่มุ่งมั่นเหลือเกิน เห็นแล้วเริ่มรู้สึกภูมิใจกับการเป็นลูกพระพิรุณจริงๆ เมื่อถึงศูนย์ควบคุมไฟป่า พวกเรากะว่ารุ่นพี่จะต้องแวะพักแน่นอน เราเห็นคณะวิศวะนั่งพักกันอยู่ก่อนแล้ว แต่ ! เหตุการณ์กลับไม่เป็นดังคาด เพราะสิ่งที่รุ่นพี่บอกพวกเราก่อนออกวิ่งนั้นเป็นเรื่องจริงครับ ไม่มีการหยุดพักนะครับ วิ่งต่อไป วิ่งต่อไป รุ่นพี่ตะโกนบอก 

พวกเราหลายคนตาเหลือก บางคนถอดใจไว้ที่ศูนย์ควบคุมไฟป่าแล้ว หลายคนจึงต้องวิ่งออกจากแถว ผมไม่ไหวแล้วครับ รุ่นพี่ที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามมาก็ต้องเอาเพื่อนเราบางคนซ้อนท้ายไป แต่ไม่ใช่ตลอดทางนะครับ หายเหนื่อยแล้วคุณต้องกลับมาวิ่งต่อกับเพื่อนๆ บางคนปวดฉี่ก็วิ่งออกจากแถวไปฉี่ สักพักหนึ่งก็วิ่งกลับมารวมกลุ่มกับเพื่อนๆ พูดด้วยสีหน้าที่ยุ่งยากว่า เฮ้ย ! กูฉี่ไม่ออกว่ะ สงสัยเหนื่อยเกินไป เลยไม่รู้ว่าจะฮาหรือจะสงสารดี 

แล้วพวกเราก็กัดฟันสู้ วิ่งต่อไปเรื่อยๆ รุ่นพี่ยื่นขวดน้ำให้พวกเรา อย่ากินมาก เดี๋ยวจุก ส่งต่อให้เพื่อนๆด้วย บางคนเอาน้ำราดหัว เหงื่อเม็ดโป้งๆเริ่มผุดขึ้นที่หน้าผาก ที่คอ ที่หน้าอก ที่หลัง ไม่นานนักพวกเราก็เหมือนกับคนที่วิ่งฝ่าสายฝน เสื้อของพวกเราเปียกโชก Aggie CMU Agie CMU สู้มั้ย สู้ สู้ สู้มั้ย สู้ สู้ พวกเราตะโกนให้กำลังใจกัน ถึงแม้จะมีการวิ่งออกจากแถวหรือวิ่งกลับมาในแถวของเพื่อนเราตลอดทาง แต่โดยรวมแล้วพวกเราไม่ถอดใจ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปเรื่อยๆ บางคนไม่ไหวเพื่อนๆก็ช่วยแบกช่วยลากกันไป 

และแล้ว พวกเราวิ่งมาถึงโค้งก่อนถึงอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย วิ่งต่อไปครับ เป้าหมายของเราอยู่ที่หน้ามอ พวกเพื่อนๆ ผู้หญิงและรุ่นพี่ทุกๆคนรอต้อนรับพวกคุณอยู่ครับ แข็งใจหน่อย อีกนิดเดียวเท่านั้น อดทน เกษตรต้องอดทน ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มไม่ไหวแล้ว เพื่อนเห็นผมหน้าซีดจึงรีบถาม ไหวมั้ยวะ กูช่วยพยุงมั้ย ไม่ต้อง ขอบใจว่ะ ผมพูดออกไปแบบน้ำลายเหนียวเต็มที รู้สึกว่าคอมันตีบตันไปหมด เพื่อนๆหลายๆคนช่วยกันกระตุ้นผม สู้โว้ย ! สู้โว้ย ! ฮึดอีกหน่อย เห็นหน้ามอลิบๆแล้ว อีกนิดเดียวเพื่อน มึงตายตอนนี้ไม่ได้นะ มันกำลังจะถึงตอนจบแล้วโว้ย พวกเราต่างคนต่างตะโกนให้กำลังใจกัน Aggie CMU Aggie CMU เกษตร เชียงใหม่ เกษตร เชียงใหม่ 

ผมยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผาก เอาวะ พลังเฮือกสุดท้ายถูกปลุกขึ้นมาใช้ พยุงตัวเองวิ่งไปเรื่อยๆ แทบขาดใจ แทบขาดใจจริงๆ อดทน เกษตรต้องอดทน กูต้องอดทน กูไม่ยอมแพ้โว้ย ! ผมตะโกน เพื่อนๆก็ช่วยกันตะโกนให้กำลังใจกันไปตลอดทาง พวกเราวิ่งผ่านสวนสัตว์เชียงใหม่ วิ่งผ่านวิทยาลัยเทคโนพายัพ และแล้วรั้ว มช.ก็ปรากฎขึ้นในสายตาของพวกเรา นั่นไง เป้าหมายของพวกเรา ถึงแล้วโว้ย ถึงแล้วโว้ย รุ่นพี่ที่วิ่งอยู่ข้างหน้าถือธงสีเหลืองของคณะเกษตรโบกสะบัดอย่างฮึกเหิมและเข้มแข็ง สายตาแห่งความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของพวกเราจับจ้องไปที่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยของพวกเรา 

พลันที่พวกเราก้าวเท้าเข้าเขตรั้ว มช. เสียงปรบมือต้อนรับพวกเราจากทั้ง 2 ฟากฝั่งถนนก็ดังสนั่นและยาวนาน เพื่อนผู้หญิงรุ่นเราและรุ่นพี่หลายๆคนรวมทั้งรุ่นพี่ที่เรียนจบไปแล้วต่างก็ยืนยิ้มให้และมองพวกเราด้วยสายตาที่ชื่นชม ทำได้แล้ว ทำได้แล้ว ทำได้แล้วโว้ย วู้ วู้ วู้ !!! พวกเราแข็งใจยืนเหนื่อยหอบ ถึงแม้จะเหนื่อยแทบขาดใจ แต่ก็ยังไม่มีใครยอมนั่ง บางคนยังวิ่งวนไปวนมาอย่างหยุดไม่ได้ บางคนกำมือแน่นแล้วชูขึ้นด้วยความสะใจ และ ณ ที่ตรงนั้น เพลงเลือดเข้ม เพลงแห่งศักดิ์ศรีของพวกเราชาวเกษตร มช. ก็ดังขึ้นอย่างกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รุ่นพี่พร้อมใจกันร้องเพลงนี้ให้พวกเรา .....ถึงลำเค็ญเราจะทน ถึงลำบากเราไม่บ่น...เรามีน้ำอดน้ำทน เพราะเลือดคนเกษตรเข้ม เพราะเลือดเข้มเกษตรข้น..... น้ำตาแห่งความภาคภูมิใจของผมไหลพราก ไม่ผิดกับเพื่อนๆอีกหลายคน พวกเราประสานมือกันแน่น Aggie CMU Aggie CMU เกษตรเชียงใหม่ เกษตรเชียงใหม่ 

ความตื้นตันใจ ความปิติใจและความภาคภูมิใจของพวกเรานั้น ไม่ใช่การวิ่งขึ้นดอยสุเทพเป็นที่ 1 ไม่ใช่การวิ่งเพื่อโอ้อวดคณะอื่นว่าพวกเราแข็งแรงเป็นวัวเป็นควาย แต่เรากลับภาคภูมิใจกับการที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ประสานใจเป็นหนึ่งเดียว ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน การร่วมจิตร่วมใจกันทำในสิ่งที่ทำได้ยากของพวกเราชาวเกษตร มช. นั้นทำให้เกิดพลังที่ยิ่งใหญ่ ใครจะเชื่อว่าพวกเราร้อยกว่าชีวิตสามารถพากันวิ่งลงมาจากดอยสุเทพด้วยระยะทาง 12 กม.แบบม้วนเดียวจบ ไม่มีการหยุดพัก แล้วช่วยแบกช่วยลากกันลงมาถึงรั้ว มช.พร้อมๆกันโดยไม่มีใครตกหล่นแม้แต่เพียงคนเดียว ภูมิใจทุกครั้งที่บอกใครๆว่า พวกเราคือ เกษตรเชียงใหม่ รุ่นที่ 20 

ปล.หลังจากนั้น JohnV และเพื่อนๆอีกหลายคนก็วิ่งกับน้องๆรุ่น 21 , 22 , 23 และสามารถวิ่งลงดอยแบบม้วนเดียวจบได้ครบทั้ง 4 ปี เป็นการยืนยันได้อย่างจริงแท้แน่นอนว่า เมื่อคุณสามารถทำอะไรได้สำเร็จในครั้งแรกแล้ว ครั้งต่อๆไปก็จะสำเร็จ สำเร็จ และสำเร็จ  

ฮึด 
อินคา
 
บุกตะลุยจะคว้าเอาชัย รุกเข้าไปจนใกล้จนเกือบถึง ลงเต็มแรงจวนเจียนจะหมดกำลัง 
 บุกมานานจนใกล้จะยอม ถ้าในใจยอมแพ้คงจบกัน ทำกันมานมนานไม่มีประโยชน์ 
 
ถ้าหากยอมแพ้ก็เหนื่อยฟรี ถ้าหากยอมแพ้ก็หมดกัน ไม่มีการแก้ตัว 
อุตส่าห์ทำไว้ก็ป่วยการ อุตส่าห์ทำไว้ก็หมดตัว แล้วอยู่อยู่จะมายอมแพ้ได้ยังไง 
 
ฮึดหน่อยอีกนิดเดียว เดี๋ยวเดียวเท่านั้น 
 ฮึดหน่อยก็แล้วกัน ฮึดมันเข้าไว้ 
 ฮึดหน่อยอีกครั้งเดียว ครั้งเดียวได้ไหม 
ฮึดหน่อยอีกไม่ไกล ต้องไปให้ถึง 
 
ฮึดหน่อยอีกนิดเดียว