24 มีนาคม 2553

บนเส้นทางสีขาว

ผมไม่เคยรู้และไม่เคยสนใจว่าเราเกิดมาทำไม ชีวิตในช่วงวัยเด็กก็เล่นสนุกไปวันๆ ทุกวันศุกร์คุณครูก็จะต้อนพวกเราไปวัดใกล้โรงเรียน นั่งคุกเข่า กราบพระ สวดมนต์ ฟังเทศน์ ผมรู้สึกเบื่อมาก สวดมนต์ก็ไม่รู้เรื่อง ฟังเทศน์ก็ไม่เข้าใจ เมื่อไหร่จะจบซะที อยากออกไปวิ่งเล่นแล้ว ผมไม่เคยชอบเย็นวันศุกร์เลย ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว เพื่อนผมแทบทั้งห้องรวมทั้งเพื่อนๆห้องอื่นก็ไม่ชอบด้วย ผมคิดในใจว่าถ้าดีจริงเด็กต้องชอบสิ นี่ไม่เห็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมคนไหนชอบเลย แม้แต่คุณครูบางคนยังไม่สนใจ แอบหนีกลับบ้านก่อนเด็กๆด้วยซ้ำไป
 

ผมไม่เคยใส่บาตร และไม่เคยคิดจะใส่ ครอบครัวผมเป็นคนจีน ไหว้เจ้าตามขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นไหนผมก็ไม่ทราบ และถึงแม้ในเรื่องไหว้เจ้าผมก็ไม่รู้เรื่อง คิดเพียงรอให้ไหว้เสร็จแล้วจะได้กินขนม หมูเห็ดเป็ดไก่ ก็เท่านั้น จุดธูปไหว้ก็ทำไปงั้นๆ นึกแต่เรื่องสนุกอย่างเดียว ตลอด 20 ปีของผมไม่เคยมีพระรัตนตรัยอยู่ในหัวใจ

จนกระทั่งผมได้พบกับเธอ เธอเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันกับผม แรกเริ่มเดิมทีผมไม่เคยคิดจะจีบเธอ แต่ความใกล้ชิดทำให้ผมเริ่มชอบเธอ เมื่อคบกับเธอ ผมก็เริ่มเดินเข้าสู่เส้นทางบุญ เธอพาผมไปตักบาตร ผมไม่เคยรู้เลยว่าการตักบาตรนั้นต้องถอดรองเท้า เธอบอกว่าพระสงฆ์เป็นผู้ที่อยู่สูงกว่าเรา อยู่สูงกว่านี่หมายถึงว่าท่านเป็นผู้ที่มีบุญบารมีมากกว่าเรา และในขณะที่ท่านมารับของใส่บาตรจากเรานั้นท่านไม่ใส่รองเท้า หากเราไม่ถอดรองเท้านั่นหมายถึงเราไปยืนอยู่เหนือท่าน คล้ายๆกับการยืนค้ำหัวผู้ใหญ่ เราจึงควรถอดรองเท้าทุกครั้งที่ทำบุญตักบาตร เป็นการแสดงความเคารพต่อท่าน และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นบนเส้นทางสีขาวของผม...
 

หลังจากคบหาดูใจกันมา 8 ปี ผมก็แต่งงานกับเธอ ตลอดเวลาเธอพยายามเป็นกัลยาณมิตรให้ผมอย่างสม่ำเสมอ ชวนผมทำบุญตักบาตร ศึกษาธรรมะ ช่วงแรกๆผมยังรู้สึกไม่ชอบ ผมไม่เข้าใจว่ากฎแห่งกรรมนั้นมีความยุติธรรมจริงๆหรือไม่ ทำไมพ่อทำบาปแล้วลูกกลับต้องมารับกรรม พ่อตัดมือลิงแล้วทำไมลูกถึงเกิดมาแขนด้วน ทำไมไม่ทำให้พ่อซึ่งเป็นผู้ก่อกรรมนั่นแหละถูกตัดแขนบ้าง มาโยนบาปให้ลูกได้ยังไง ทำไมคนทำความดี สร้างบุญตลอดเวลายังถูกกดขี่ข่มเหง ยังลำบากยากแค้น ไม่เห็นบุญจะส่งผลดีกับเขาเลย ไหนว่าทำดีแล้วจะได้ดีไง แล้วคนทำชั่วหลายๆคนยังลอยนวลอย่างมีความสุข อย่างนี้ยุติธรรมแล้วเหรอ ผมไม่เข้าใจถึงขนาดคิดแบบผิดๆว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตั้งกฎแห่งกรรม เป็นกฎที่ไม่ยุติธรรมเลย
 

ภรรยาของผมยังคงตั้งหน้าตั้งตาเป็นกัลยาณมิตรให้ผม เธอชวนผมไปวัด ผมไม่อยากไป เธอก็บอกว่างั้นช่วยขับรถไปส่งเธอหน่อย ด้วยความที่ผมรักและห่วงเธอ ผมจึงขับรถไปส่งเธอที่วัด แต่ผมไม่เข้าไปในศาลาวัดนะ ผมไม่ชอบคนเยอะ พลุกพล่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมไม่คุ้นเคยกับการปฏิบัติตัวในวัด เวลาเจอพระสงฆ์แล้วผมจะต้องทำตัวยังไง ผมจะพูดกับท่านอย่างไร จะเรียกท่านอย่างไร จะใช้คำแทนตัวผมเองอย่างไร ยิ่งสวดมนต์ผมยิ่งแย่ สวดไม่เป็น บางบทที่พอสวดได้ก็กระท่อนกระแท่นเหลือเกิน ที่ไม่ชอบอย่างยิ่งคือ ผมไม่ชอบการสวดมนต์ที่ไม่รู้แม้แต่คำแปล เหมือนนกแก้วนกขุนทอง สวดไปโดยไม่รู้ความหมายแล้วจะได้อะไรขึ้นมา เมื่อผมส่งภรรยาไปวัดแล้ว ผมก็จะอยู่นอกศาลาเพื่อรอรับเธอกลับบ้าน เป็นอย่างนี้อยู่นานหลายปีทีเดียว
 

และแล้ว ภรรยาก็เริ่มจับทางถูก เธอรู้ว่าผมชอบฝึกนั่งสมาธิ จริงๆแล้วผมก็ฝึกมาตั้งแต่เด็กนั่นแหละ แต่ฝึกแบบไม่อิงกับศาสนา คือช่วงเด็กๆผมอยากฝึกเพื่ออ่านใจคนอื่น ฝึกเพื่อทำอะไรได้พิเศษกว่าคนอื่น พูดง่ายๆคือฝึกเพื่อต้องการในเรื่องของปาฏิหาริย์ ไม่ได้ต้องการความสงบอะไรหรอก แต่การฝึกสมาธิในช่วงเด็กๆของผมก็ไม่ได้อะไรมากมาย นั่งนิ่งๆไม่เห็นเกิดอะไรขึ้นมาเลย เมื่อเริ่มโตขึ้น เป็นวัยรุ่น อ่านหนังสือมากขึ้นจึงรู้ว่าสมาธินั้นเขาฝึกเพื่อให้ใจนิ่ง ไม่ได้ฝึกเพื่อต้องการอิทธิปาฏิหาริย์ จึงเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น แต่ผมก็ไม่เคยรู้เลยว่าคนที่จะฝึกสมาธิให้ได้ดีจริงๆนั้นต้องทำอย่างไร ผมยังคงฝึกโดยการทำตามวิธีในหนังสือหลายๆเล่มที่เขาสอนเรื่องการฝึกสมาธิ แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรก้าวหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งภรรยามาบอกผมว่าที่วัดเขามีสอนทำสมาธิด้วยนะ ผมรู้สึกสนใจ อยากรู้ว่าเขาสอนกันแบบไหน และนั่นคืออีกก้าวหนึ่งที่ผมเดินเข้าสู่เส้นทางสีขาว...

เมื่อผมก้าวเข้าไปในศาลาที่เขากำลังนั่งสมาธิหรือที่ภรรยาผมเรียกว่าการปฏิบัติธรรม ผมก็เกิดอาการขนลุกซู่ เพราะภาพเบื้องหน้าของผมคือคนจำนวนมาก ทุกคนใส่เสื้อขาว นั่งขัดสมาธิ เงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงของหลวงพ่อที่นำนั่งสมาธิเท่านั้น ผมคิดในใจว่าเป็นไปได้ยังไง คนจำนวนมากแต่นั่งเงียบได้ขนาดนี้ ภรรยาผมพาผมเดิน ซึ่งผมอยากจะเรียกว่าย่องมากกว่า เพราะเราต้องเดินให้เงียบที่สุดเพื่อที่จะได้ไม่ไปรบกวนการนั่งสมาธิหรือการปฏิบัติธรรมของคนอื่นที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเราหาที่ว่างได้ก็นั่งลง ผมนั่งฟังการนำนั่งสมาธิของหลวงพ่อ ผมยังคงไม่ทำอะไร ในขณะที่คนอื่นๆนั่งขัดสมาธิ หลับตานิ่งๆ และแล้ว หลวงพ่อก็พูดว่า ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบๆนะ 


หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในศาลาก็ตกอยู่ในสภาพเงียบกริบ เงียบมากๆ เงียบจนผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาอีกครั้ง อะไรกันนี่ เป็นไปได้ยังไง คนมากมายขนาดนี้แต่พากันนั่งนิ่งอย่างเงียบสงบ แล้วผมก็เริ่มนั่งในท่าขัดสมาธิเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ผมหลับตา นั่งตัวตรง นึกตามที่หลวงพ่อสอนเมื่อสักครู่ เวลาผ่านไปนานแค่ไหนผมไม่อาจจะรู้ได้ ผมรู้แต่เพียงว่า ใจผมเริ่มสงบ เริ่มเย็น เริ่มมีความสุขกับการนั่งนิ่งๆ แต่ยังไม่ทันไปถึงไหน หลวงพ่อก็ปลุกผมจากภวังค์ด้วยการบอกให้พวกเรากราบพระ หลังจากนั้นเป็นต้นมา เมื่อผมไปวัดกับภรรยา ผมจะต้องเข้าไปฝึกนั่งสมาธิในศาลาทุกๆครั้ง และผมก็ได้รู้ว่าการจะฝึกสมาธิให้ได้ผลดีนั้น ผู้ฝึกต้องรักษาศีล อย่างน้อยๆก็คือศีล 5 และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นที่ผมเดินหันหลังให้กับเหล้าและบุหรี่ชนิดที่เรียกว่าเราอยู่กันคนละโลกเลยทีเดียว

ผมเริ่มอ่านและฟังสื่อธรรมะของวัด ทำให้ผมเข้าใจศาสนาพุทธได้ดีมากขึ้น ผมเพิ่งรู้ว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้ตั้งกฎแห่งกรรม แต่กฎนี้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว ใครทำกรรมอะไรไว้ก็ย่อมจะได้รับผลกรรมที่ตนเองเป็นผู้ก่อ จะเร็วหรือช้า จะหนักหรือเบา ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง ยิ่งอ่านมากก็ยิ่งอยากรู้มาก ยิ่งอยากรู้มากก็ยิ่งศึกษามากขึ้น มากขึ้น ทุกวันนี้ผมเริ่มรู้แล้วว่า คนเราเกิดมาเพื่อสร้างบุญสร้างบารมี ไม่ใช่เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม การได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง บุญบารมีที่เราสร้างแล้วสร้างอีกนั้นจะช่วยรื้อผังชีวิตของเราให้หลุดพ้นจากวิบากกรรมในชาติก่อนๆของเราลงเรื่อยๆ เรายังคงต้องชดใช้กรรมที่เราก่อไว้ในอดีต หลวงพ่อสอนเรื่องบุญกับบาปได้อย่างน่าสนใจว่า บุญก็เปรียบเหมือนน้ำ บาปก็เปรียบเหมือนเกลือ น้ำในตุ่มหากมีน้อยแต่มีเกลือมากก็ย่อมเค็มเป็นธรรมดา แต่หากเติมน้ำเข้าไปเรื่อยๆ ความเค็มของเกลือก็จะจางลง เกลือไม่ได้หายไปไหน เกลือยังคงมีอยู่เท่าเดิม แต่ปริมาณน้ำที่มากขึ้นสามารถทำให้ความเค็มของเกลือในตุ่มลดลงได้ เช่นเดียวกับบุญและบาป ทำบาปมากก็เหมือนเติมเกลือลงในตุ่ม ทำบุญมากก็เหมือนเติมน้ำลงในตุ่ม ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามกรรม และบุญที่หลวงพ่อพูดถึงนั้นก็หมายถึง การทำทาน การรักษาศีล และการเจริญสมาธิภาวนา นั่นเอง
 

ขอขอบคุณภรรยาของผมที่เป็นกัลยาณมิตรให้ผมได้เดินเข้าสู่เส้นทางแห่งความสุขที่แท้จริง ชีวิตของผมทุกวันนี้มีความสุขกว่าเมื่อก่อนมาก ผมรู้เป้าหมายของชีวิต ผมรู้ว่าเราเกิดมาทำไม และผมรู้ว่าผมควรจะเดินไปทางไหน พระพุทธองค์ทรงเป็นบรมครูที่ยิ่งใหญ่ ครูที่สอนให้ผมและพวกเราทุกคนได้รู้ความจริงของชีวิต ทุกวันนี้ผมยังไม่เห็นมีใครยิ่งใหญ่เท่ากับพระพุทธองค์ พระผู้สอนให้ผมก้าวย่างไปอย่างมั่นคง...บนเส้นทางสีขาว